เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๗ พ.ย. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราเป็นชาวพุทธนะ วันนี้เป็นวันทอดกฐิน เราจะมีกฐินเพราะว่า เรามีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานะ ศาสนาพุทธไม่มี ถ้าไม่มีศาสนาพุทธนะ เราเกิดมา เห็นไหม ในลัทธิศาสนาอื่นๆ ดูความเป็นอยู่ของสังคมเขาสิ กับสังคมของชาวพุทธนี้มันต่างกันอย่างไร? แล้วเราอยู่ในสังคมของชาวพุทธน่ะ เห็นไหม

พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ประเสริฐที่สุด ประเสริฐที่ไหน? ประเสริฐที่หัวใจไง ประเสริฐที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิญาณตนกับพระปัญจวัคคีย์ว่า “เราเป็นพระอรหันต์” เห็นไหม ปัญจวัคคีย์อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ ๖ ปี แล้วเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอดอาหารอยู่ ๔๙ วัน แล้วมาฉันอาหารนะ เห็นว่าเป็นคนมักมาก เห็นไหม ขณะที่ทำทุกรกิริยา อดอาหารมา ๔๙ วัน ยังตรัสรู้ไม่ได้ แล้วมาฉันอาหารมันจะตรัสรู้ได้อย่างไร?

การอดอาหารในสมัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น อดอาหารโดยคิดว่าการอดอาหารนั้นเป็นวิธีการ เป็นสิ่งที่จะได้มรรคได้ผล วิธีการเข้าหาเป้าหมายไง แต่การอดอาหารในสมัยนั้น เพราะว่ายังไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาเอง เวลาอดอาหารก็ยังไม่รู้ว่าการอดอาหารนี่ อดหารแล้วมันมีกลอุบายวิธีการอย่างไร แต่ขณะที่ว่าฉันอาหารแล้ว พอจิตมันเป็นกลาง เห็นไหม นี่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้วพอวางธรรมขึ้นมาให้ลูกศิษย์ลูกหาเป็นผู้ก้าวเดิน เห็นไหม การอดอาหารเป็นอุบายวิธีการ อนุญาต

แต่ถ้าการอดอาหารเป็นการอวด ปรับอาบัติทุกกฎ ปรับอาบัติหมด เห็นไหม เพราะอะไร? เพราะถ้าอย่างนั้นแล้ว การอดอาหารเฉยๆ ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอดอาหารนี่อดอาหารเฉยๆ ไม่มีปัญญาไง ไม่มีการใคร่ครวญในหัวใจไง แต่ขณะที่ผ่านไปแล้ว เห็นไหม จะเห็นความผิดความถูกของตัวเอง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์นะ นี่วางธรรมและวินัยไว้ มันถึงเป็นศาสดาของเรา แล้วขณะที่ออกเผยแผ่ เห็นไหม เทศน์ปัญจวัคคีย์ครั้งแรก ได้พระอรหันต์มา ๕ องค์ เทศน์ยสะและเพื่อนได้มาอีก ๕๔ เห็นไหม รวมทั้งหมดเป็น ๖๑ ทั้งกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าบอกกับพระอรหันต์ ๖๑ องค์

“เธอจงไปโดยที่ไม่ซ้อนทางกัน อย่าไปซ้ำกันมันเสียผลประโยชน์” เห็นไหมให้แยกกันไป เพราะโลกนี้เดือดร้อน โลกนี้เร่าร้อนมาก โลกนี้ต้องการธรรม โลกนี้ต้องการธรรมนะ

ขณะที่เผยแผ่มา เห็นไหม เวลาพระมากขึ้นมา นี่เวลาพระจุนทะเห็นในลัทธิศาสนาต่างๆ เวลาศาสดาของเขาตายลง นี่ลูกศิษย์ลูกหามีปัญหามาก มาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เพราะเหตุใด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเพราะไม่มีธรรมวินัย พระจุนทะบอกให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติธรรมวินัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “บัญญัติไม่ได้ มันไม่มีต้นเหตุ มันยังไม่มีเหตุให้บัญญัติไปล่วงหน้า” เห็นไหม

ขณะที่มีความผิด นี่ศีล ๒๒๗ ๒๑,๐๐๐ ข้อนี้ มีคนทำผิดมาแล้วทั้งนั้นนะ แต่ต้นบัญญัติยกเว้น เพราะว่ายังไม่มีกฎหมาย แต่ขณะทำผิดแล้วมีกฎหมาย เห็นไหม นี่ถ้าพระมากขึ้นมา ต้องบัญญัติธรรมวินัยไว้ เพราะ! เพราะไม่ใช่พระ ๖๑ องค์ ที่ไม่ติดในบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ บ่วงที่เป็นทิพย์คือสวรรค์ คือวัฏฏะ เห็นไหม คือตั้งแต่พรหมลงมา บ่วงที่เป็นโลก โลกธรรม ๘ นี่ความมีลาภ ความเสื่อมลาภ ความอยากดัง ความอยากใหญ่ นี่บ่วงที่เป็นโลก เห็นไหม พระอรหันต์ไม่ติดบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ ถึงไม่ต้องมีธรรมวินัย ไม่ต้องมีการบัญญัติไว้

แต่ขณะที่มีพระมากขึ้นมา เพราะพระมากขึ้นมา พระมีแต่ความโลภ พระก็มาจากคน พอพระมาจากคน พระประพฤติปฏิบัติก็มาจากคน เห็นไหม ถ้ามีความเห็นผิด เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ การอดอาหารนั้นยังว่าอดอาหารเพื่อจะให้ชำระกิเลส แต่มันชำระกิเลสไม่ได้ แต่ขณะที่บรรลุธรรมขึ้นมา เห็นไหม ถ้าใครอดอาหารเพื่อเป็นวิธีการ เป็นอุบายวิธีการ เราอนุญาต แล้วพอเผยแผ่มา คนมากขึ้น พระมากขึ้น ต้องบัญญัติธรรมวินัย นี่เราจะทอดกฐินก็เกิดจากธรรมวินัยนะ

แต่ขณะที่เป็นสังคมสงฆ์ขึ้นมานี่ เวลาเผยแผ่ไปนะ เวลาพระอานนท์เป็นผู้ที่ลงใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม พระเทวทัตยุให้พระอชาตศัตรูปล่อยช้างมาจะชนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่พระอานนท์เข้าขวางเลยนะ เพราะอะไร? เพราะเห็นไง เห็นซึ้งในคุณ

พระอานนท์เป็นพระโสดาบัน ซึ้งคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก มีภัยขึ้นมาจะปกป้อง จะปกป้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไม่ต้อง เพราะพระอานนท์เป็นพระโสดาบัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เห็นไหม แผ่เมตตาไป สัตว์ป่านะ ช้างตกมัน ไม่ฟังใครหรอก แต่พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแผ่เมตตาไป ช้างนั้นสงบตัวลง เห็นไหม ขณะที่ลูกศิษย์ก็คิดว่าจะปกป้องศาสดา แต่ศาสดาเป็นผู้นำนะ เป็นหัวหน้า เห็นไหม นี่สิ่งนี้ทำไปเพื่ออะไร? เพื่อสังคม

นี่พระอานนท์ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยายามบอกเป็นนิมิต เห็นไหม ที่ต่างๆ ว่า “ผู้ใดมีอิทธิบาท ๔ จะอยู่เท่าไหร่ก็อยู่ได้” นี่ทำนิมิตหมายอย่างนี้กับพระอานนท์ถึง ๑๖ หน พระอานนท์นึกไม่ได้ไง จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลงอายุสังขารนะ พระอานนท์เห็นโลกธาตุหวั่นไหว ต้องมีสิ่งใดเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ เข้าไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

“สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปแล้ว เป็นเพราะเหตุใด?”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเพราะ เห็นไหม พระพุทธเจ้าเกิดหนหนึ่ง ตรัสรู้หนหนึ่ง ปลงอายุสังขารหนหนึ่ง จะเกิดอาการอย่างนี้ไง นี่พระอานนท์เข้าใจว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลงอายุสังขารแล้ว เห็นไหม อ้อนวอนขอให้อยู่นะ ขอให้อยู่ต่อไป นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาบอก “ไม่ได้ เราทำเป็นนิมิตหมายเธอถึง ๑๖ หนแล้ว ถ้าเธอนิมนต์ไว้ถึง ๓ หนเราจะปฏิเสธ ถ้าหนที่ ๔ เราจะรับอาราธนาของเธอ”

แต่นี้ทำไม่ได้ เห็นไหม นี่พระอานนท์ทำไว้นะ สิ่งที่ลงใจกับครูบาอาจารย์นะ มันจะลงด้วยหัวใจ ลงด้วยจะทำประโยชน์ ทั้งๆ ที่เป็นพระโสดาบันนี่ ปัญญายังไม่รอบรู้ ถ้าปัญญายังไม่รอบรู้อย่างนี้ ความไม่เข้าใจไง

แต่สิ่งที่เป็นความอยากใหญ่ของพระเทวทัตนะ พระเทวทัตขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปกครองสงฆ์ เห็นไหม ก่อนจะปกครองสงฆ์นะ ขอพร ๕ อย่าง ไม่ให้ฉันเนื้อสัตว์ ให้อยู่โคนไม้ตลอดไป ให้ถือธุดงควัตรไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า

“สิ่งที่การกระทำนี่สังคมโลกนี่ จริตนิสัยต่างๆ กัน แล้วแต่ใครจะพอใจ ถ้าใครพอใจทำก็เห็นด้วย ถ้าใครไม่พอใจทำก็แล้วแต่เขา” เห็นไหม

พระเทวทัตออกโพนทะนา นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีความรู้เหมือนเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ถือเคร่งเหมือนเรา เห็นไหม สิ่งที่เวลาคิดโดยทางโลกนี่มันคิดของเขาไปสภาวะแบบนั้น ความเห็นมันต่างกันนะ

ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วนะ ขณะที่ประชุมสงฆ์กัน สงฆ์ปลงอาบัติพระอานนท์ ๒ ข้อ

ข้อที่ ๑ เหยียบผ้าอาบน้ำฝนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ข้อที่ ๒ พระอานนท์ไม่อาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้อีก เห็นไหม

นี่ให้เป็นความผิดของพระอานนท์ พระอานนท์บอก “ไม่ใช่ สิ่งที่ทำนี้ไม่มีเจตนาเลย” แต่ในเมื่อเป็นการลงมติของสงฆ์ พระอานนท์ยอมรับนะ ยอมรับความเห็นอย่างนั้น นี่ความเห็นในครั้งโบราณนะ ความเห็นในครั้งสมัยพุทธกาล ถ้าพุทธกาลเป็นสภาวะแบบนี้ เห็นไหม ผู้ที่เห็นกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือผู้ลงใจ แต่ผู้ที่ต้องการชิงการนำ เห็นไหม นี่ไม่เห็นด้วยกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ผลก็ให้เป็นสภาวะแบบนั้น

นี่คือความจริงในศาสนาของเรานะ แล้วศาสนาของเรานี่มาสองพันห้าร้อยกว่าปี จนมาถึงยุคปัจจุบันนี้ เห็นไหม ศาสนาแต่โบราณนะ นี่เราเกิดมาของยุคของความเจริญนะ ในธรรมบท เวลาเทวดาเขาสิ้นอายุขัย การสิ้นอายุขัยในวัฏฏะต้องมีเทวดา อินทร์ พรหม เราก็ไม่เชื่อ ชาตินี้มีชาติเดียว ตายแล้วสูญ ถ้าตายแล้วสูญนี่สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วมันมาจากไหน? สิ่งที่ความเป็นไป เห็นไหม เวลาเทวดานี่เขาหมดอายุขัยของเขา เขาอวยพรให้พรกัน เห็นไหม

“ถ้าหมดอายุขัยแล้ว จากเทวดาให้เกิดเป็นมนุษย์เถิด เกิดเป็นมนุษย์ให้ได้พบพุทธศาสนา” เพราะพุทธศาสนาได้ทำบุญกุศลที่เราจะทำกันอยู่นี่ ทำบุญกุศลแล้วก็วนขึ้นไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมอีก เห็นไหม นี่สิ่งที่เขาอวยพรกันเป็นสภาวะแบบนั้น มันเวียนตายเวียนเกิดกันอยู่อย่างนี้

นี่ศาสนาสองพันกว่าปีมาแล้วนี่ ศาสนาก่อนที่เราจะเจอกันอยู่นี้ มันก็ไปตามความเชื่อ ตามความคิดของกิเลสนะ แต่เพราะเราเกิดมากึ่งกลางพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้แล้วว่า กึ่งกลางพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง เห็นไหม

นี่แล้วก็หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ มารื้อค้น มาค้นคว้า มันค้นคว้าที่ไหนอ่ะ เวลาไปป่าไปเขา นี่ทุกข์ยากมานะ หลวงปู่มั่นดำรงชีวิต มีศาสดาเป็นแบบอย่าง เวลาภาวนา ภาวนาอยู่ในป่า เวลาดำรงชีวิตๆ อยู่ในป่า เวลาตายก็ตายในป่า เห็นไหม ทั้งชีวิตนะอยู่แต่ในป่า ทำคุณประโยชน์กับสิ่งต่างๆ ในวัฏฏะ แต่ขณะที่ทำคุณประโยชน์กับโลก เห็นไหม คือการฝึกฝน คือตัวเองพยายามเอาตัวเองให้ได้ก่อน แล้วพยายามฝึกฝน เห็นไหม นี่วางลูกศิษย์ลูกหาไว้ นี่เป่ากระหม่อมมานะ ครูบาอาจารย์บอกเป่ากระหม่อมมา สิ่งนี้มาเพื่ออะไร? เพื่อให้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ไง ถ้าเป็นหลักเป็นเกณฑ์ นี่การฟื้นฟูนะ ประเพณีวัฒนธรรมที่เราทำกันอยู่นี้นี่เป็นการฟื้นฟู

ในกรานกฐินก็เหมือนกัน ในสิ่งต่างๆ ที่ให้เป็นธรรมชาติ เป็นความจริงนะ กฐินถ้าเราไปขอเอง สิ่งที่เราไปขอมา เห็นไหม นี่เป็นอันไม่เป็นอันกราน เห็นไหม กฐิน! สิ่งที่เราทำขึ้นมาแล้วหัวหน้าไม่มีความฉลาด หัวหน้าไม่มีความฉลาดนะ ไม่สามารถตัด เนา เย็บ ย้อมขึ้นมาให้มีมาติกา ๘ ได้ จะไม่มีอานิสงส์ เห็นไหม ให้มีอานิสงส์ที่ไหน? เราไปเห็นกันแต่เรื่องของวัตถุ เราไม่เห็นด้วยกับเรื่องหัวใจ หัวใจนะ ความสามัคคี ความมีหัวใจลงรอยต่อกัน สิ่งที่มีความสามัคคีในหัวใจนี่ เพราะอะไร? เพราะสิ่งที่สังคมมนุษย์นะ ถ้ามีคนที่ไม่เห็นด้วย คนที่ความคิดแปลกประหลาดกว่าเขา มันก็จะทำลายในสังคมนั้น เห็นไหม ถ้าสังคมนั้นเป็นสังคมที่มีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นร่วมกัน สังคมนั้นก็มีความสุข

ร่างกายของเราก็เหมือนกัน ร่างกายของเราถ้าไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ร่างกายของเราเป็นปกติ เราดำรงชีวิตของเราด้วยความสุขสบาย ร่างกายของเราเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ละชิ้นแต่ละส่วน เห็นไหม นี่มันก็ทำให้ร่างกายนี้พิการไป นี่สิ่งที่เห็นด้วย ผู้ที่ฉลาด เห็นไหม นี่จะทำสิ่งที่เกิดขึ้นมาในมาติกา ๘ เห็นไหม

เวลาครูบาอาจารย์ของเราค้นคว้ามาสภาวะแบบนี้นะ สิ่งที่ค้นคว้ามานี่ถ้าหัวใจมันลง มันจะลงกันที่หัวใจนะ ถ้าหัวใจไม่ลงนะ ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม “ภิกษุอยู่ถึงภาคตะวันตกของประเทศ อยู่ของแต่ละทวีป แต่ถ้าเขาทำเหมือนเรา เขามีความรู้สึกเหมือน เหมือนกับจับชายจีวรเราไว้ กอดเราไว้เลย แต่ไม่ทำตามเรา ไม่ทำสิ่งต่างๆ ทั้งนั้น นี่กอดเราไว้เลย อยู่ห่างเราคนละทวีป” เห็นไหม นี่สิ่งที่การลงใจมันลงที่หัวใจนะ มันไม่ใช่ลงอยู่ที่กิริยามารยาทจากภายนอก ลงมาจากหัวใจ สิ่งที่ลงมาจากหัวใจลงมาจากไหน? ลงมาจากความเห็นจากภายใน ถ้าภายในเห็นคุณประโยชน์นะ

การเดินทางของโลก มันยังมีการหลงทางได้ แต่ถ้าการเดินทางของใจนะ มันจะลงมากกว่านี้ นี่ในวิกฤติ ในศาสนาของเรา มันจะมีสิ่งต่างๆ เกิดมาตลอดเวลา แล้วการจะดำรงศาสนาให้มั่นคงต่อไปนี่ ถ้าผู้นำไม่เป็นผู้ฉลาด จะไม่สามารถนำหมู่คณะให้พ้นออกไปจากวิกฤตินั้นได้ นี่ขณะที่ครูบาอาจารย์ของเราออกมาทำประโยชน์กับโลก เห็นไหม มันมีความเป็นไปนะ

เขาว่าเราเอาหนังสือไปแจกที่สวนแสงธรรม เป็นการวัดรอยเท้า เป็นการตีเสมอ... มันไม่ใช่ มันไม่ใช่เพราะเหตุใด? มันไม่ใช่เพราะว่า เพราะขณะที่เกิดวิกฤติ มันมีส่วนหนึ่งบอกว่าควรกระทำ อีกส่วนหนึ่งบอกว่า ไม่ต้องทำ สิ่งที่ทำหรือไม่ต้องทำ มันเป็นเห็นความใช่ไหม แต่หลักจากความจริงน่ะ เราเอา “ธงธรรม”ไปแจกที่สวนแสงธรรม แจกที่สวนแสงธรรมเพราะอะไร? เพราะต้องการเป็นเอกภาพไง

สิ่งที่เป็นเอกภาพ เห็นไหม ธงธรรม ธงธรรมคือตัวธรรม ตัวธรรมคือตัวศาสนา ธงโบกไปทางไหน เห็นไหม นักรบ! นักรบนี่สิ่งที่แม่ทัพเขาโบกธง นี่สิ่งที่เป็นขุนพล เขาจะเห็นว่าควรจะรบอย่างไร? ควรจะเป็นอย่างไร? ธงธรรมนำชีวิตของเราไง สิ่งที่เราเอาไปแจก เราไม่ได้แจกด้วยความตีเสมอ

ความลงใจนะ ในวินัย ภิกษุผู้อาวุโส เราเอาภันเต แม้แต่เดินเข้าไป ใส่รองเท้ากับไม่ใส่รองเท้า หกก้าวยังเป็นอาบัติเลย สิ่งที่เราเอาไปแจกนั้น มันเป็นสิ่งที่ตีเสมอ แต่สิ่งที่เราทำวิกฤตินี้ให้เป็นปกตินะ นี่สิ่งที่เขาเป็นไปมันไม่เป็นเอกภาพ การกระทำของพวกเรามันเป็นไปไม่ได้ เห็นไหม

“ธงธรรม” เพียงแต่บอกให้ต่างคนต่างให้เข้าใจ ว่าสิ่งที่ผู้นำ ถ้าเราเชื่อผู้นำของเรา ใจเป็นธรรมนะ มันไม่มีอกุศล มันคิดผิดไม่ได้ มันคิดแต่ความถูกต้อง แต่ความเห็นของเรามันเป็นความเห็นผิด แล้วความเห็นผิดน่ะ ถ้าเราไม่ทำตามนั้น แล้วบอกว่า สิ่งที่ไม่ทำ ไม่ทำเพราะเราไม่อยากทำ แต่ผู้ที่ทำเขามี ถ้าผู้ที่ทำเขามีก็ควรให้เขาทำ ไม่ควรไปต่อต้านเขา

“ธงธรรม” ถ้ามีธงธรรมนำนะ อันนี้อันหนึ่ง สอง ขณะที่ว่าความเป็นเอกภาพความเป็นไปนะ แต่ขณะที่ทำไปแล้วนี่ สิ่งที่การเคลื่อนไหวไป วิกฤตินั้นมันผ่านพ้นไป ต่างคนต่างไม่ยอมรับความจริง เห็นไหม

นี่สิ่งที่เกิดวิกฤติรอบใหม่ขึ้นมา ก็บอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมานี่ มันเป็นสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้ เพราะ! เพราะผู้ที่อยู่มาเก่า ผู้ที่มีอายุมากจะมีความคิดผิด ความคิดที่ไม่ตรงกับสัจจะความจริง เขาบอกว่า “สิ่งที่เชื่อถือไม่ได้” เห็นไหม สิ่งที่เชื่อถือไม่ได้ ถ้าธรรมเชื่อถือไม่ได้ พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตกก็ต้องเชื่อถือไม่ได้ พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตกโดยธรรมชาติของมัน

ใจก็เหมือนกัน ใจที่เป็นธรรมแล้วเชื่อได้ ทำไมจะเชื่อถือไม่ได้ จะแก่จะอ่อนขนาดไหน ต้นไม้แก่ ต้นไม้อ่อนมันเป็นอายุนะ แต่ความเห็นน่ะขันธ์ ๕ ขันธ์ในสัญญาความจำได้หมายรู้มันเป็นสิ่งที่เปลือกๆ แต่หัวใจเป็นธรรมมันเป็นไปได้ สิ่งที่เป็นธรรมมันคงที่ไง

จิต! เห็นไหม เสื้อผ้าที่สกปรก มันมีสิ่งสกปรก เวลามันสกปรก เห็นไหม มันจะเกิดความหมักหมม แต่เสื้อผ้าที่สะอาดพับเก็บไว้ในตู้ ถ้าย่อยสลายมันก็โดยธรรมชาติของมัน หัวใจที่สะอาดนะจะแก่เฒ่าขนาดไหนก็ไม่หัน พระอรหันต์ตั้งแต่ตรัสรู้ขึ้นมาแล้วนะ จนวันตายจะอายุ ๑๒๐ ก็เป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ขาดสติไม่ได้ สติเป็นอัตโนมัติ เห็นไหม เขาว่าสิ่งนั้นเชื่อถือไม่ได้ เราถึงเอากิเลสตบตา กิเลสตบตาน่ะ มันตบตาคนโง่ มันเป็นคนโง่แล้วมันว่ามันฉลาด เห็นไหม

ที่สวนแสงธรรม เราแจกหนังสืออยู่ ๒ เล่ม คือธงธรรมกับกิเลสตบตา เพื่อสิ่งนี้เท่านั้น แล้วหนังสือเรามีมาก สิ่งที่มีมาก เราไม่ได้วัดรอยเท้า เราเป็นการ เห็นไหม เป็นการทำให้สังคม สังคมที่ความเห็นผิดให้มันถูกต้องขึ้นมา สิ่งที่ถูกต้องขึ้นมามันเป็นประโยชน์ เห็นไหม มันเป็นประโยชน์ต่อเมื่อสังคมมันดีขึ้นมา เห็นไหม ถึงเวลาสังคมมันดีขึ้นมา ก็บอกว่า ไอ้พระแจกเทป พระนี้แจกเทป แจกหนังสือ สิ่งนี้เป็นความผิดอีก

สิ่งที่เป็นความผิดนะ ยา ยาที่โรงพยาบาลนี่ เวลาที่เราไปโรงพยาบาล โรงพยาบาลจะต้องให้ยาเราไหม? ถ้าเราไปที่โรงพยาบาลนะ โรงพยาบาลเขาจะไม่ให้ยาเรามาเลย หรือให้ยาปลอม ให้ยาหมดอายุ เราจะรักษาโรคเราหายได้ไหม? นี่หนังสือ เทป มันเป็นยา ในเมื่อมีคนไข้มาที่โรงพยาบาล เขาให้ยานี่มันผิดตรงไหน ถ้ายานี้มันผิด ยามันหมดอายุ เห็นไหม

ในปัจจุบันนี้ เห็นไหม ธรรมะหมดอายุ เราบอกเลยนะ ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้ “ให้ปล่อยวาง” เราก็ปล่อยวางนะ จนปัจจุบันนี้ทุกคนบอกว่า เราเป็นคนดี เราก็มีความสุข เราจะต้องไปวัดทำไม? นี่ยาหมดอายุ ถ้ายามีอายุนะ มันรักษาได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวางทุกข์ ไม่ใช่ให้ปล่อยวางภาระหน้าที่ ไอ้ที่เราปล่อยวางกัน เราปล่อยวางภาระหน้าที่ความเพียรชอบ ความเพียรชอบ สมาธิชอบ ความเห็นชอบ การกระทำงานชอบ นี่ยาไม่หมดอายุ

นี่บอกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้ปล่อยวาง ก็ปล่อยวางกันหมดเลย ปล่อยวางกันโดยที่ไม่รู้อะไรไง ยามันหมดอายุ สิ่งที่ธรรมะแจกนี้ ถ้ามันผิด มันหมดอายุ ยาไม่มีคุณภาพ มันต้องพูดกันตรงนี้ ไม่ใช่บอกว่า แจกเทป การแจกนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกนะ “ภิกษุ ๖๑ องค์ ไม่ติดบ่วงทั้งทางโลกและบ่วงทั้งทางทิพย์ อย่าไปซ้อนทางกัน” ครูบาอาจารย์นะต้องการตรงนี้มาก ต้องการนะ

นี่ดูสิ ศีลธรรม จริยธรรม มันอ่อนๆ ที่ไหน? อ่อนตรงที่พวกเราอ่อนแอ แล้วศีลธรรม จริยธรรม มันเอาอะไรมาซื้อได้ ศีลธรรมจริยธรรมจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? ศีลธรรมจริยธรรมเกิดขึ้นมาได้เพราะหัวใจ เพราะความรู้จริง

ถ้าความรู้จริง เห็นไหม ลาภ วัฒนธรรมเกิดที่ไหน? ลาภ วัฒนธรรมนี่เกิดมาจากสังคมพุทธ สังคมพุทธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แล้วผู้อับเฉา ผู้มืดมน มันจะเป็นสังคมชาวพุทธได้ไหม? สังคมชาวพุทธมันมืดมนได้ขนาดนั้นหรือ ความกตัญญูกตเวทีน่ะมันเป็นเครื่องแสดงออกของหัวใจของคนดี แล้วคนที่มีกตัญญูกตเวทีนี่ มันจะเป็นคนชั่วได้อย่างไร? คนที่ไม่มีกตัญญูกตเวทีไม่คิดถึงพ่อ ไม่คิดถึงแม่ ไม่คิดถึงบุญคุณที่พ่อแม่เลี้ยงดูมานี่ มันเป็นคนดีได้ไหม?

พระโสดาบันนี่จะไม่มีสีลัพพตปรามาส ไม่ลูบคลำในศีล ไม่ลูบคลำในสิ่งต่างๆ แล้วครูบาอาจารย์ของเรา พ่อแม่ของเราทุกข์ยาก เราดูดายนี่ มันลูบคลำไหม? มันลูบคลำ เห็นไหม นี้ถ้ามันเป็นสภาวะแบบนั้น ธรรม! สิ่งที่เป็นธรรมมันก็คือธรรม สิ่งที่การแจก แจกนี้แจกเพราะการให้ยานะ เวลาคนไข้มาเราให้ยาของเรา ยามันเป็นประโยชน์นะ

นี่เขาว่าเป็นการวัดรอยเท้า ยกตนเสมอท่าน... ไม่ได้ยก ไม่ได้วัดรอยเท้า ธรรมะคือธรรมะ ดวงอาทิตย์แต่ละดวงมันมีพลังงานของมัน จิตแต่ละดวงที่สำเร็จขึ้นมา มันเป็นพลังงานของจิตดวงนั้น มันพ้นจากวัฏฏะ มันจะวัดรอยเท้ากันไม่ได้ เอาดวงอาทิตย์สองดวงมาซ้อนกันไม่มี ธรรมะของครูบาอาจารย์ทุกองค์จะไม่มีการซ้อนกัน วิทยานิพนธ์ของแต่ละดวงจะไม่เหมือนกัน สิ่งที่กระทำมาพระอรหันต์แต่ละองค์ในสมัยพุทธการจะไม่เหมือนกันเลย ธรรมะอริยสัจเหมือนกัน แต่วิธีการกระทำจะไม่เหมือนกัน พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระอุบาลี ทำมาต่างๆ กันจะไม่มีเหมือนกันเลย แล้วสิ่งที่ไม่เหมือนกัน มันจะมาซ้อนกันได้อย่างไร มันซ้อนกันไม่ได้เลย แต่เพราะความไม่เข้าใจ เพราะกิเลสมันตบตา เราถึงเอากิเลสตบตาออกไปนะ

สิ่งนี้ในโลกนี้ เห็นไหม อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา ในสังคมมีทั้งคนพาล พาลภายนอก พาลภายในนะ มีทั้งบัณฑิต นี่ก็เหมือนกัน สังคมบัณฑิตของเรานะ เราจะคบบัณฑิตของเรา ถ้าคบบัณฑิตนะ ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า “เรานี่อยู่ในธรรมในวินัย ถ้าเราเคารพในธรรมในวินัย คือเราเคารพศาสดา” ศาสดา เห็นไหม

ในกฐินทานของเรานี่ เราจะทำกฐินทานของเรา กฐินทานนี้เกิดมาจากไหน? เวลาหลวงปู่มั่นนะ เรื่องเก็บหอมรอมริบนะ แม้แต่วินัยแต่ละข้อ ถ้าศึกษามาแล้วไม่ลงใจ เห็นไหม ยังกำหนดเอาไว้ในหัวใจ แล้วนั่งสมาธิเข้าไป ถ้าพูดถึงวิทยาศาสตร์ กับหัวใจ นี่มันเกือบจะเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน เช่น คอมพิวเตอร์นี่เรากดเข้าไปนะ เราคีย์เข้าไปในเว็บไซต์ต่างๆ เราจะศึกษาเรื่องใดก็ได้

ในจิตนะ เราตั้งประเด็นไว้ สงสัย! สงสัยสนเท่ห์สิ่งใด กำหนดจิตเข้ามา ถ้ามีอำนาจวาสนา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าครูบาอาจารย์จะมาสอนในนิมิตนั้น เห็นไหม นี่สงสัย สนเท่ห์ต่างๆ นี่ทำมาเป็นธรรมและวินัย แล้วฟื้นฟู วางธรรมและวินัยนี้ให้เป็นศาสดาของเรา ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ๒,๕๐๐ ปีมานี่มันเป็นไป ธรรมะหมดอายุไง แต่เวลาองค์หลวงปู่มั่น ท่านขึ้นมาจากหัวใจของท่าน ท่านรู้จริงจากหัวใจของท่าน จิตท่านมีวุฒิภาวะ ท่านถึงพยายามรื้นค้นสิ่งนี้ขึ้นมา แล้ววางไว้ เห็นไหม

เราเป็นชาวพุทธนะ พูดถึงถ้ามันเป็นคนมีวาสนา เราจะมีวาสนามาก เพราะเรามีศาสดา เห็นไหม เรามีพ่อมีแม่นะ เรามีความอบอุ่น ครอบครัวไหนมีพ่อมีแม่เป็นหลักชัย ลูกๆ จะมีความอบอุ่นนะ ถ้าครอบครัวไหนพ่อแม่ล่วงไปแล้ว เราก็จะเจริญเติบโตขึ้นไป

ในศาสนาของเรา องค์ศาสดาเป็นทั้งพ่อ เป็นทั้งแม่นะ นี่หัวใจมีที่พึ่งไง ถ้าหัวใจนะเรามีพ่อมีแม่ เราอบอุ่นในบ้านของเรา แต่เราก็สนเท่ห์สงสัยในชีวิตของเรา ในชีวิตของเรา เราจะดำเนินชีวิตอย่างไร? แต่ถ้าเรามีธรรมในหัวใจนะ นี่ชีวิตนี้มันเป็นผลของวัฏฏะ มันหมุนเวียนไปตามอำนาจของบุญกุศล แล้วเราเกิดมาในสังคมที่มีความร่มเย็นเป็นสุขขนาดนี้ ขนาดนี้นะ ขนาดที่ว่านี้แล้วเราก็ยังทุกข์กัน แล้วเรามองไปรอบๆ ประเทศไทยขึ้นมา เห็นไหม สังคมพุทธเหมือนกัน แต่ชนชั้นเขาเหยียบย่ำกัน เขาทำลายกัน มนุษย์ไม่เป็นมนุษย์ไง แต่ของเรามนุษย์เป็นมนุษย์ เห็นไหม

ถ้ามนุษย์เป็นมนุษย์ แล้วภิกษุล่ะ ภิกษุก็เป็นมนุษย์นะ มนุษย์เหมือนกัน แต่มีความศรัทธา มีความเชื่อ มีความจงใจ มีการตั้งสัจจะ มีผู้ที่ตั้งสัจจะ แล้วพยายามทำหัวใจของเราขึ้นมา ให้ผ่านวิกฤติในหัวใจ “อเสวนา” ความคิดที่มันพอใจ ความคิดที่มันสุกเอาเผากิน ความคิดที่มันจะเอารัดเอาเปรียบตัวเอง เอารัดเอาเปรียบตัวเองไม่ต้องพูดถึงใครเลย เอารัดเอาเปรียบกับตัวเอง เพราะทำความสงบก็ทำความสงบไม่ได้ มันคาดหมายว่าสงบ เวลามันเกิดมีปัญญาขึ้นมา มันว่าเป็นปัญญา มันก็เป็นปัญญาของกิเลส มันไม่เป็นปัญญาของตัวจริง

ถ้ามันเป็นปัญญาของตัวจริง มันจะไม่ตบตาตัวเอง กิเลสมันตบตา เอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอ้างอิง แล้วมันก็ตบตา แล้วจิตมันก็เป็นอกุศล มันไม่ลงใจใครทั้งสิ้น มันทำสวนกระแสไป แต่ผู้ที่หัวใจเขาเป็นธรรมนะ เขาทำสิ่งนั้นไม่ได้ ทำสิ่งใดก็ทำเพื่อกตัญญูกตเวที ทำสิ่งใดก็ทำเพื่อประโยชน์กับสังคม เอาตัวเองเข้าแลก เอาความดีต่างๆ

พ่อแม่นะ จะต้องเอาตัวเองเข้าแลกเพื่อให้ลูกอยู่สุขอยู่สบาย แต่พ่อแม่ที่ท่านรับภาระมาก ที่ลูกๆ จะช่วยแบ่งเบาภาระได้ เขาก็จะทำภาระของเขา สิ่งที่ได้มานี่ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว สิ่งนี้เป็นเรื่องสัจจะความจริงนะ

แล้วย้อนกลับมาในวงการกฐินของเรา ถ้าหัวหน้าเป็นผู้ที่ฉลาดมีมาติกา ๘มาติกา ๘ การกระทำสิ่งนี้เพื่อประโยชน์กับใคร? นี่ประโยชน์สิ่งนี้มันประโยชน์กับสังคมนะ ประโยชน์กับเราชาวพุทธ เราชาวพุทธจะทำบุญกุศล ทำบุญกุศลเพื่อใครเพื่อหัวใจของเรา

แต่ผู้ที่เป็นครูเป็นอาจารย์นะ เขามีใจของเขาเป็นสาธารณะ เขามีใจของเขาเพื่อวิปัสสนาของเขา ทำใจให้พ้นจากสิ่งที่เป็นบุคคล สิ่งที่เป็นสมบัติส่วนตน สิ่งที่เป็นสมบัติส่วนตน นี่ทิพย์สมบัติ จิตในวัฏฏะนี่เป็นทิพย์สมบัติ เป็นสมบัติส่วนตนจะไปเกิดในภพในชาติใดๆ แต่จิตที่มันพ้นไปแล้ว จิตที่เป็นสาธารณะนี่ มันไม่ต้องการสิ่งใดๆ เพราะจิตมันพ้นจากสาธารณะไป แต่เพื่อจิตที่เป็นสาธารณะ เป็นเนื้อนาบุญของโลก แล้วเราทำบุญกุศลของเรา เราจะสร้างบุญกฐินของเรา แล้วเราหว่านพืชลงไปในพื้นที่สาธารณะ ในพื้นที่ดินดี ในพื้นที่สิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรา มันจะเกิดผลประโยชน์กับเรา เห็นไหม

อยู่เพื่อโลก อยู่เพื่อสังคม บุญกุศลมันเพื่อสังคม มันเป็นสมมุติบัญญัติ มันไม่เป็นวิมุตติ วิมุตติมันพ้นไปจากสมมุติบัญญัติ แต่เรายังหมุนอยู่ในสมมุติบัญญัติ เราอาศัยสมมุติบัญญัตินี้เดินเข้าไปสู่วิมุตติ วิมุตติอยู่ที่ไหน? วิมุตติไม่ได้อยู่ในตำรา วิมุตติไม่ได้อยู่บนฟ้าอากาศ วิมุตติมันอยู่ที่หัวใจ วิมุตติมันอยู่ที่ความสุขความทุกข์อยู่นี่ ถ้าหัวใจมันยังทุกข์อยู่ หัวใจยังแบกภาระอยู่ หัวใจยังมีภวาสวะ มีภพ มีความรู้สึก ความรู้สึกนี่คือตัวภพ ตัวภพเพราะมีความรู้สึก มันรู้สึกแล้วมันคิดออกไป สิ่งที่มันย้อนกลับมาที่ตัวภพ นี่มันทำลายตัวภพนี้ ถ้าตัวภพไม่มี เห็นไหม ตัวภพไม่มีแล้วความคิดมาจากไหน? นี่สิ่งที่ความคิด เห็นไหม สอุปาทิเสสนิพพาน สิ่งที่พระอรหันต์ยังมีชีวิตอยู่ เห็นไหม ขันธ์ ๕ และธาตุ ๔ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มันเป็นผลที่ตอบสนองมาจากผลของวัฏฏะ

สิ่งที่วัฏฏะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ไง เช่น ผลไม้เวลามันออกเป็นลูกมาแล้ว ผลไม้ยังมีอยู่ไหม? หลุดออกมาจากขั้ว แต่ผลไม้ยังมีอยู่ จิตนี้หลุดออกไปจากกิเลส หลุดออกไปจากกิเลส หลุดออกไปจากตัวตน หลุดออกไปจากภพ มันเป็นสาธารณะ มันเป็นสมบัติของมัน แต่..แต่ในเมื่อมันยังสิ่งที่เป็นธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ เห็นไหม

เราว่ากันจะถนอมธาตุขันธ์ของครูบาอาจารย์ ธาตุคือธาตุ ๔ นี่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ คือความคิด ถ้าท่านมีความคิดพ่อแม่ของเรา มีสิ่งความปรารถนา มีเป้าหมาย นั่นคือขันธ์ ๕ ถ้าเราจะถนอมธาตุขันธ์ เราต้องทำตามท่าน ทำให้ท่านพอใจ นั้นคือถนอมขันธ์ ๕ ของท่าน แต่เราไปขวาง เราไปทำลายขันธ์ ๕ ของท่าน แต่บอกว่าจะถนอมธาตุขันธ์ของท่าน สิ่งที่ถนอมธาตุขันธ์ต้องทำตามเพื่อให้ท่านสบายใจ ความสบายใจนี้ไม่ใช่สบายกิเลส ไม่ใช่สบายธรรม มันเป็นสบายในวิหารธรรม เป็นผลที่เกิดจากจิตที่เป็นสาธารณะ แล้วออกมาในธาตุ ๔ และขันธ์ ๕

ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าพระอรหันต์ดับขันธ์ลง ดับขันธ์ เห็นไหม ดับขันธ์นี่จิตเป็นวิมุตติล้วนๆ ไม่มีธาตุ ๔ ไม่มีขันธ์ ๕ เพราะจิตมันเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่วันที่สิ้นกิเลสไป จิตนี้พอสิ้นกิเลส จิตนี้สะอาดบริสุทธิ์ แต่สิ่งนี้ยังมีอยู่ไง เพราะชีวิตยังมีอยู่ นี่ธรรมะมีชีวิตไง ธรรมะมีชีวิตอธิบายถึงเหตุถึงผลของเราได้

หลวงปู่มั่นท่านเตือนพระขณะที่มีชีวิตอยู่นะ “หมู่ขณะให้มั่นพิจารณามานะ ขณะนี้ภิกษุเฒ่ายังมีชีวิตอยู่ ถ้ามันมีการแก้ไขจิต ภิกษุเฒ่าจะแก้ไข จะหาช่องทางให้ได้ ถ้าภิกษุเฒ่าตายไปแล้วนะ จะหาคนแก้ลำบากนะ จะหาคนชี้นำได้ลำบากนะ”

เพราะ เพราะมันเป็นยาหมดอายุ มันเป็นธรรมะที่เป็นตำรา มันไม่เป็นธรรมะจริงๆ ที่วิธีการที่มันผ่านพ้นมา วิธีการที่มันหมุนออกมา มันเห็นสภาวะของมัน เห็นไหม นี่ภิกษุเฒ่า สอุปาทิเสสนิพพาน นี้ถ้าเราตอบสนอง เราจะถนอมธาตุขันธ์ คือเราทำให้ท่านมีความสุข มีความสบาย ไม่ใช่ไปขวาง ไม่ใช่ไปทำลาย เห็นไหม

นี่ในการกระทำของเรา จากภายนอก จากภายใน สิ่งที่ดีนะ หัวใจที่ดี แม้แต่หยิบเศษแก้วเศษกรวดมาก็เป็นของดี จิตใจที่เลว มันจะหยิบเพชรหยิบพลอยมาเพราะใจมันเลว มันกำเพชรกำพลอยมาก็เป็นเพชรเลวพลอยเลว เพราะเพชรมีราคาของโลก โลกกับธรรมไม่เหมือนกัน แต่ถ้าจิตใจมันสะอาดบริสุทธิ์นะ มันหยิบแก้วหยิบกรวดมา แก้วกรวดนั้นก็เป็นของดี เห็นไหม มันดีที่ใจ มันดีที่จิตที่เป็นกุศล มันดีที่จิตที่เป็นคุณธรรม มันไม่ใช่ดีที่เรามาสอพลอกัน มาตบแต่ง มาปั้นแต่งกัน การปั้นแต่งจากภายนอก การปั้นแต่งจากสังคมจากภายนอก เห็นไหม กับความเป็นจริงของใจ นี่บุญกุศลมันอยู่ที่นี่นะ

เรื่องของหัวใจมันเป็นเรื่องของที่มีคุณค่ามาก สิ่งที่มีคุณค่าอยู่กับเรา เราจะทำบุญกุศลของเรา ก็จากเพราะเราคิดดี เราทำดี เราหวังดี เราก็จะทำในสิ่งที่ดีๆ ถ้าสิ่งที่ดีๆ เกิดขึ้นกับเรา เห็นไหม เราจะเป็นประโยชน์กับเรานะ ไม่มีหรอก ไม่มีการวัดรอยเท้า การวัดรอยเท้ามันเป็นภาษาโลก การอัพเกรดของตัวเองขึ้น มันเป็นเรื่องของโลกสมมุติ ธรรมไม่มีทาง ไม่มีหรอก เพราะมันรู้ตามทันกันไม่ได้

ถ้าจิตมันสูงกว่า จิตที่ต่ำกว่าจะให้ถึงจิตที่สูงกว่า เป็นไปไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ทางโลกเขาว่ากัน แต่ถ้าจิตมันเสมอกัน จิตมันถึงกัน เคารพกันโดยธรรมนะ เคารพกันด้วยความเห็น เพราะความเห็นนี้สิ่งที่จะได้มาเอาชีวิตเข้าแลก แลกกันมาทั้งชีวิต ไม่ใช่ทำลุ่มๆ ดอนๆ หรอก การทำลุ่มๆ ดอนๆ เป็นไปไม่ได้ เรื่องสมมุติกับสมมุติเข้าด้วยกัน เรื่องความจริงกับความจริงเข้ากัน จิตเป็นความจริง เราปฏิบัติเพื่อความจริง

ดูสิ เราทุกข์กันมาทำไม เราแสวงหากันมาทำไม เพราะเราเข้าใจว่าเป็นความจริง เราเข้าใจว่านะ แต่มันไม่เป็นความจริงของเรา ถ้ามันเป็นความจริงของเราขึ้นมา เราอยู่ที่ไหนก็เป็นความจริง อยู่ในห้องในหับ อยู่ที่ไหนก็เป็นความจริง เพราะความจริงมันอยู่ที่ใจเรา สิ่งที่เราแสวงออกข้างนอกมันเป็นเรื่องของภายนอกทั้งนั้นเลย แต่เราก็ต้องแสวงหา เพราะเรายังไม่ถึง

เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม นี่ออกพรรษา พระจะออกธุดงค์กัน ธุดงค์เพื่ออะไร? ก็ธุดงค์กันเพื่อค้นหาตนเอง ค้นหาตัวเองทำไมไม่ค้นหาที่นี่ล่ะ ค้นหาที่นี่มันเป็นการจมอยู่กับฐานของตัวเอง จมอยู่กับความนึกคิด จมอยู่กับการเหยียบย่ำของกิเลส มันถึงต้องแสวงหาออกไปข้างนอก แสวงหาออกไปข้างนอกเพื่ออะไร? เพื่อมันทุกข์มันยาก แล้วค้นกับมาหาตัวเอง เห็นไหม ทวนกระแส ทวนกระแสกลับมาที่ใจ ถ้าใจมันทวนกระแสกลับมาที่ใจ มันจะค้นหาตัวเอง นี่การธุดงค์ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์นะ ไม่มีการเข้าใจวิธีการอย่างนี้ ก็หาตัวเอง ก็ยืนอยู่นี่ ก็นั่งอยู่นี่ ก็ค้นที่ใจตัวเองสิ ทำไมค้นไม่ได้? นี่ไงเราไปปฏิเสธที่วิธีการไง ธรรมะหมดอายุนะ

ถ้าธรรมะมีอายุนะ นี่หลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ท่านจะกระเหม็ดกระแหม่ ธรรมวินัยทุกข้อ เพราะสิ่งที่ธรรมวินัยทุกข้อเหมือนกับเครื่องมือ เหมือนกับวิธีการที่จะเข้าไปหาขุมทรัพย์ แล้วทุกคนจะไปทำลายเครื่องมือ เห็นไหม ดูสิ เราจะทำครัวแม้แต่มีดเล่มนึงเราก็ไม่มี แม้แต่สิ่งที่จะทำครัวเราไม่มีสักชิ้นนึง แต่เราว่าเราเป็นพระอรหันต์กัน มันเป็นไปได้ไหม? แต่ผู้ที่ทำครัวนะ เขามีเครื่องมือของเขาพร้อมนะ มีทุกอย่างพร้อมที่จะทำเป็นอาหารขึ้นมา นี่ธรรมวินัยเป็นอย่างนี้

ผู้ที่ผ่านมาเหมือนกับเรานี่ เหมือนทางการแพทย์ เห็นไหม การดำรงชีวิตของเขา เขารู้เลยการดำรงชีวิตอย่างนี้ ผลตอบสนองมาจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บอย่างนั้น แล้วก็ทำกันไปโดยที่คนไม่รู้ แต่หมอเขาเห็นแล้วเขาสังเวชกับผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างนั้นนะ

นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติ ถ้ายังถือทิฏฐิมานะ ถือความเห็นของตัวเป็นใหญ่ มันจะลงแต่ความพอใจของกิเลส แล้วกิเลสมันจะพาตบตาตัวเอง แล้วก็ลุ่มหลงตัวเองว่ามีอำนาจวาสนา อำนาจวาสนาเพราะเป็นศากยบุตรนะ เราบวชในพุทธศาสนา แล้วเราเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแค่ไหน? ธรรมและวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางเอาไว้ เราเชื่อแค่ไหน? ถ้าเราเชื่อจริงของเรา เราทำจริงของเรา มันจะเป็นประโยชน์ของเรานะ

นี่เราจะทอดกฐิน กฐินมันเกิดมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กฐินนี่เกิดมาจากพุทธอนุญาตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เรานั้นมีโอกาสกระทำกัน เหมือนกับเราชำระสิ่งสกปรกให้สะอาด สะอาดในเรื่องของอามิสสะอาดในเรื่องของหัวใจชั่วคราว ถ้ามีการศึกษา มีการฟังธรรม แล้วให้ธรรมะตอกย้ำมาที่ใจ แล้วให้ใจมันมั่นคงในศาสนา ทำดีที่ไหนก็เป็นทำดี นี่ทำบุญร้อยหนพันหน ไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหน ไม่เท่ากับทำสมาธิสงบได้หนหนึ่ง สมาธิร้อยหนพันหนไม่เท่ากับที่เกิดปัญญาที่เป็นสัมมาปัญญานะ ไม่ใช่มิจฉาปัญญา มิจฉาปัญญาน่ะมันมีฤทธิ์มีเดช มันยิ่งกว่าเทวทัต มันยิ่งเหยียบย่ำ ยิ่งจะทำลายนะ แต่เทวทัตยังมีความรู้สึกตัวนะ

แต่ของเรานี่ ถ้าไม่มีความรู้สึกตัวนะ มันจะทำลายตัวเองเพราะ! เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา แต่ครูบาอาจารย์ของเราน่ะ เราเชื่อกันว่าสิ้นกิเลส แล้วมันยังทำลายกันไป! มันทำลายกันไป! เอวัง